

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์
สาขาวิชาจิตวิทยา
(ผู้)หญิงเองก็ลำบาก
08/10/2564

"เกิดเป็นผู้หญิง แท้จริงนั้นแสนจะลำบาก"
ความเท่าเทียมทางเพศเป็นเรื่องจริงหรือคำลวงหลอก เหตุใดกลุ่มสตรีนิยม (Feminist) จึงยังออกมาเรียกร้องความเท่าเทียมอยู่? ประเด็นนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างว่าแท้จริงแล้วหญิงเท่า? หรือเทียม? กับชายกันแน่ เมื่อมีผู้เรียกร้อง ก็ต้องมีผู้ต่อต้านการเรียกร้อง ประหนึ่ง “ที่ใดมี Feminist ที่นั่นย่อมมี Anti-feminist” จริงอยู่ว่า สมัยนี้ความเหลื่อมล้ำระหว่างเพศจะลดน้อยลงกว่าแต่ก่อนแล้วในหลายภูมิภาคทั่วโลก แต่ทว่าภาพสะท้อนของความไม่เสมอภาคทางเพศกลับยังคงดำรงอยู่ และกำลังดำเนินต่อไปในบางสังคม (ณรงค์กรรณ รอดทรัพย์, 2555)
เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านหูหรือคุ้นตากันมาบ้างกับข่าวที่ผู้หญิงตกเป็นเหยื่อของผู้ชาย ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่กลุ่มชายฉกรรจ์รุมโทรมเด็กหรือหญิงสาวจนเกิดกระแสในสื่อสังคมกลายเป็น Hashtag ยอดนิยมอย่าง #นรกบนดิน #5เดนนรก #10ทรชน หรือเหตุการณ์การคุกคามทางเพศ หรือแม้กระทั่งความรุนแรงในครอบครัวที่สามีลงไม้ลงมือทำร้ายภรรยา จากข่าวและเหตุการณ์ทั้งหมดก่อให้เกิดคำถามว่าหากหญิงเท่าเทียมกับชายแล้วนั้น ไฉนเพศหญิงจึงยังต้องรู้สึกเจ็บปวดกับการตกเป็นเหยื่อการกระทำทารุณของเพศชายอยู่ ราวกับสังคมนี้มีเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังที่ยังคงฝังรากและงอกเงยอยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้า
การเหยียดเพศ (Sexism) มีรากฐานมาจาก “ความเกลียดชัง” ซึ่งช่วยเข้าใจว่าทำไมจึงมีผู้คนออกมาต่อต้านการเรียกร้องความเท่าเทียมของกลุ่มสตรีนิยมกันอยู่เรื่อยๆ ความเกลียดชังแบบใดกันหนอที่ทำให้มนุษย์คนหนึ่งต้องเผชิญกับความทุกข์ยากทั้งทางกายและใจเพียงเพราะเขาเหล่านั้นเกิดมาเป็นเพศหญิง วันนี้จึงอยากชวนผู้อ่านทำความรู้จักกับความเกลียดชังผู้หญิง (Misogyny)
Misogyny มีรากศัพท์มาจากคำว่า “mīsoguníā” ในภาษากรีก ซึ่งมีความหมายว่าความเกลียดชัง ความไม่ชอบ หรือการมีอคติต่อเพศหญิง ซึ่งความเกลียดชังเพศหญิงสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบ อาทิ การมีอภิสิทธิ์ของเพศชาย (male privilege) ระบบสังคมชายเป็นใหญ่ การเลือกปฏิบัติระหว่างเพศอย่างไม่เป็นธรรม การดูถูกผู้หญิง ความรุนแรงต่อผู้หญิง การปฏิบัติต่อผู้หญิงเสมือนวัตถุทางเพศ การคุกคามทางเพศทั้งในชีวิตจริงและโลกออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งความเกลียดชังผู้หญิงยังถูกมองว่ามีพื้นฐานมาจากอคติหรือการเหยียดเพศนั่นเอง (Fleming et al., 2018; Srivastava et al., 2017; Szymanski et al., 2009)
ความเกลียดชังหรืออคติที่มีต่อเพศหญิงนั้นไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยาม แต่มีมานานตั้งแต่ก่อนจะเริ่มนับคริสต์ศักราชเสียอีก หากให้ย้อนไปถึงรากเหง้าของ Misogyny เราจะเห็นได้ตามปกรณัมกรีก อย่างที่เฮเซียด (Hesiod) ได้เขียนไว้ว่า ก่อนที่ผู้หญิงจะถือกำเนิด มวลมนุษย์เพศชายได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จนกระทั่งโพรมีธีอุส (Prometheus) ได้ขโมยเปลวไฟแห่งสวรรค์จากเทพเจ้า ส่งผลให้ซุส (Zeus) โกรธและจึงลงโทษมนุษย์ด้วยสิ่งชั่วร้าย โดยการสร้างมนุษย์หญิงคนแรกนามว่าแพนโดรา (Pandora) หญิงสาวที่ลงมายังโลกและเป็นผู้เปิดกล่องจนทำให้ความชั่วร้ายทั้งหมดในกล่องถูกปลดปล่อยออกมาสู่โลก หรืออย่างอริสโตเติล นักปรัชญาชาวกรีกที่เคยกล่าวไว้ว่า “ผู้ชายควรเป็นฝ่ายออกคำสั่ง และผู้หญิงควรเป็นฝ่ายปฏิบัติตาม เหตุเพราะสตรีเป็นผู้ต่ำต้อยที่พระเจ้าได้สร้างขึ้น” (Srivastava et al., 2017) นอกจากนี้ยังมีตำนานอีกมากมายที่เล่าขานถึงความชั่วร้ายของผู้หญิง เช่น ในศาสนาฮินดู บางตำราได้ระบุไว้ว่าสตรีเป็นเทพีสูงสุด แต่บางตำราก็จำกัดบทบาทของสตรีไว้เพียงฐานะแม่ ลูกสาว และภรรยาเท่านั้น หรือการที่เทอร์ทูลเลียน (Tertullian) ผู้เป็นบิดาของศาสนาคริสต์ละติน ได้กล่าวว่า “การเกิดเป็นหญิงนั้นเป็นคำสาปจากพระเจ้า และพวกเขาคือประตูแห่งความชั่วร้าย” (Srivastava et al.,2017)
จะเห็นว่าเนื้อหาในปกรณัม ตำรา ความเชื่อเรื่องเทพและศาสนาต่างสะท้อนนัยเชิงลบของสตรี แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? เป็นเพราะการควบคุมโดยสังคมปิตาธิปไตย (Patriarchy) หรือ “ชายเป็นใหญ่” ที่ระบบสถาปนาให้เพศชายมีบทบาทและอำนาจเหนือกว่าเพศหญิง และควบคุมผ่านความเชื่อทางศาสนา ทัศนคติ ค่านิยม วิถีการดำเนินชีวิต กฎหมาย ตลอดจนระบบต่างๆ เช่น ระบบภาษีและสวัสดิการสังคม หรือหากอธิบายด้วยลักษณะภายในครอบครัวที่ถือเอาเพศชายเป็นผู้นำ จะกำหนดให้ผู้หญิงหรือแม่เป็นศูนย์กลางแห่งรัก ส่วนพ่อจะเป็นเจ้านายหรือผู้แสดงอำนาจในบ้าน อนึ่ง พ่อหรือสามีย่อมมีอํานาจเหนือลูกสาวและภรรยา (ณรงค์กรรณ รอดทรัพย์, 2555)
สังคมปิตาธิปไตยได้บัญญัติเนื้อหาเหล่านี้ในรูปแบบต่างๆ เช่น บรรทัดฐาน กฎหมาย ระเบียบ หรือประเพณี เป็นต้น โดยมุ่งหวังที่จะขัดเกลาและหล่อหลอมให้สมาชิกในสังคมปฏิบัติตาม สังคมจึงตั้งเงื่อนไขการเรียนรู้ว่าหากมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนหรือไม่ปฏิบัติตาม ก็จะถูกลงโทษซึ่งมีตั้งแต่การตำหนิติเตียน การไม่คบค้าไม่สมาคม จนไปถึงการจำคุกและการประหารชีวิต แต่ถ้าปฏิบัติตาม ก็จะได้รับรางวัลตอบแทน จึงทำให้บุคคลเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามเพื่อที่ว่าตนจะได้อยู่ในสังคมนั้นอย่างปกติสุข และในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ รับเอาค่านิยม ความเชื่อ เจตคติ บรรทัดฐาน และพฤติกรรมดังกล่าวเข้ามาเป็นบุคลิกภาพของตนเองและเป็นไปตามที่สังคมต้องการ เราเรียกกระบวนการนี้ว่า สังคมประกิต (Socialization) (สิทธิโชค วรานุสันติกูล, 2546) จึงอาจกล่าวได้ว่า สังคมปิตาธิปไตยได้ส่งต่อเนื้อหาเรื่องการกดทับให้เพศหญิงเป็นรองเพื่อคงอำนาจเหนือกว่านั้นไว้ ทำให้สมาชิกในสังคมลดทอนคุณค่า และเกลียดชังเพศหญิงตามมาได้ (Szymanski et al., 2009)
ดังนั้น จึงมิอาจปฏิเสธได้ว่าเพศชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำในเรื่องความรุนแรงทางร่างกายและการล่วงละเมิดทางเพศ จนทำให้เกิดผลเสียมากมายต่อเพศหญิง เช่น การเกิดปัญหาสุขภาพ (Fleming et al., 2018) ยิ่งผู้หญิงเผชิญกับเหตุการณ์การเหยียดเพศ (Sexist events) ยิ่งส่งผลเสียต่อความคิดและความรู้สึก เช่น มีอารมณ์โกรธมากขึ้น เศร้ามากขึ้น รู้สึกสบายใจน้อยลง และมีความภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) ต่ำลง นอกจากนี้ยังนำไปสู่การซึมซับความเกลียดชังผู้หญิง (Internalized misogyny) รวมถึงซึมซับรูปแบบพฤติกรรมการเหยียดเพศ ทัศนคติที่ลดทอนคุณค่าและไม่เชื่อใจในเพศหญิง ตลอดจนความเชื่อเรื่องชายเหนือกว่าเข้ามาเป็นสิ่งที่ตนยึดถือ เช่น เมื่อผู้หญิงเป็นเหยื่อของการข่มขืน ผู้หญิงบางคนอาจคิดว่าผู้หญิงเป็นฝ่ายผิด หรือการยอมรับบทบาทความเป็นหญิงแบบดั้งเดิมของสังคมว่าผู้หญิงควรเป็นแม่บ้าน เป็นต้น (Szymanski et al., 2009) จึงทำให้ผู้หญิงจำนวนหนึ่งก็สนับสนุนความเกลียดชังผู้หญิงด้วยเช่นกัน (Srivastava et al.,2017) และผู้หญิงกลุ่มนี้เมื่อตกเป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติหรือการกดขี่จะยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น (Szymanski et al., 2009)
แม้กระนั้นความเกลียดชังผู้หญิงยังเชื่อมโยงสุขภาพจิตของเพศชายอีกด้วย เนื่องด้วยบรรทัดฐานความเป็นชายที่เชื่อว่าการแสดงออกทางอารมณ์แสดงถึงความเป็นหญิง ผู้ชายจึงต้องเก็บกดอารมณ์ไว้ ทำให้สภาวะจิตใจของผู้ชายเปรียบเสมือนหม้ออัดแรงดันที่ไม่สามารถปลดปล่อยอารมณ์ได้ ความรู้สึกเหล่านั้นบางส่วนจึงถูกแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธและความเกลียดชังที่มุ่งไปยังตนเองในรูปของความรู้สึกผิด อาการทางกายและทางจิตต่างๆ ดังนั้น เพศชายจึงมีแนวโน้มที่จะดื่มแอลกอฮอล์หรือใช้สารเสพติดเพื่อจัดการกับอารมณ์เชิงลบ เช่น อารมณ์เศร้า (Fleming et al.,2018)
จากทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ล้วนตกเป็นเหยื่อของระบบสังคมชายเป็นใหญ่ที่คอยสร้างกฎเกณฑ์ต่าง ๆ จนนำมาสู่ความไม่เสมอภาค
ทั้งนี้ทั้งนั้นบทความนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อต่อว่า มุ่งร้าย หรือกล่าวโทษเพศใด เพียงแต่ต้องการมุ่งเน้นเสริมสร้างความเข้าใจถึงโครงสร้าง บรรทัดฐาน และหลักความเชื่อของสังคมที่ส่งผลต่อสมาชิกในสังคม ซึ่งก่อให้เกิดระบบความคิด อคติที่ฝังรากลึก และนำมาสู่ความรุนแรงระหว่างเพศ ดังนั้นการเปิดรับมุมมองใหม่ๆ จะช่วยให้เราเข้าใจและมองสิ่งต่างๆ รอบตัวได้กว้างมากขึ้น และการเป็นผู้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Empathy) จะช่วยให้เราพยายามเข้าใจผู้อื่นอย่างถ่องแท้ รับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่นที่เกิดขึ้นจริงในสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้เหล่าเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังแห้งฝ่อไปในที่สุด
อ้างอิง
ณรงค์กรรณ รอดทรัพย์. (2555). ปิตาธิปไตย : ภาพสะท้อนแห่งความไม่เสมอภาคระหว่างชายหญิงในสังคมเอเชีย. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์, 4(2), 30-46.
สิทธิโชค วรานุสันติกูล. (2546). จิตวิทยาสังคม : ทฤษฎีและการประยุกต์. ซีเอ็ดยูเคชั่น.
Fleming, P. J., Patterson, T. L., Chavarin, C. V., Semple, S. J., Magis-Rodriguez, C., & Pitpitan, E. V. (2018). Are men’s misogynistic attitudes associated with poor mental health and substance use behaviors? an exploratory study of men in Tijuana, Mexico. Psychology of Men and Masculinity, 19(2), 314–318.
Srivastava, K., Chaudhury, S., Bhat, P. S., & Sahu, S. (2017). Misogyny, feminism, and sexual harassment. Industrial Psychiatry Journal, 26(2),
Szymanski, D. M., Gupta, A., Carr, E. R., & Stewart, D. (2009). Internalized misogyny as a moderator of the link between sexist events and women’s psychological distress. Sex Roles, 61, 101–109.
ผู้เขียน

ปิยะรัตน์ สุวรรณนุพงศ์
นักศึกษาสาขาวิชาจิตวิทยา
นักศึกษาเอกจิตวิทยาที่ชีวิตอยากฟังเพลงมากกว่าอ่านเปเปอร์ ความตื่นเต้นในแต่ละวัน คือ การเฝ้าลุ้นเฉดสียามอาทิตย์อัสดง
ออกแบบกราฟิก

วสิษฐ์พล ตั้งสถาพรพันธ์
นักศึกษาสาขาวิชาจิตวิทยา
ผู้ชื่นชอบในการเล่นเกม และหมดเงินไปกับเกมหลายบาทแล้ว หากท่านใดต้องการสนับสนุน สามารถร่วมบริจาคได้ที่เลขบัญชี xxx-x-xxxxx-x