

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
คณะศิลปศาสตร์
สาขาวิชาจิตวิทยา
การนอกใจ
เรื่องสามัญที่ไม่ควรมองข้าม
01/10/2564

ก่อนจะเริ่ม ผมมีหนึ่งคำถามให้ทุกคนลองตอบในใจ ก่อนจะเริ่มอ่านบทความนี้
คุณมองว่า “การนอกใจ” มันผิดมากน้อยแค่ไหนกัน
“การนอกใจ” นับเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการจบความสัมพันธ์และการหย่าร้าง ซึ่งดูจะไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก เพราะคนส่วนใหญ่มักมีมุมมองต่อการนอกใจว่าเป็นสิ่งที่ “ผิดศีลธรรม” และ “ไม่น่าให้อภัยได้” (Fincham & May, 2016) ด้วยกรอบของศาสนา ความเชื่อ และระบบองค์ประกอบทางสังคมที่ปลูกฝังค่านิยมคู่สมรสเดี่ยว (Monogamy) มาจากรุ่นสู่รุ่น และนับว่าเป็นความสัมพันธ์แบบนอกใจ (Extra-dyadic relationships) แต่อย่างไรก็ดีเรื่องของการนอกใจและไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ของตนเอง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่อยู่กับสังคมมาช้านานแล้วเช่นกัน และมีหลากหลายปัจจัยมากที่คอยกำหนดพฤติกรรมนี้ ให้ยังคงดำเนินอยู่คู่สังคมมนุษย์เรา

กราฟแสดงร้อยละของผู้ที่มองว่า การมีคู่นอกสมรสเป็นเรื่องที่ “ยอมรับไม่ได้” (McCarthy, 2015)
ปัจจัยที่ต้องพูดถึงอย่างแรก แน่นอนว่าต้องเป็น “ตัวบุคคล” กล่าวก็คือปัจจัยภายในนั่นเอง โดยหากเจาะลึกในส่วนของพันธุกรรม เรื่องของทฤษฎีวิวัฒนาการจะถูกยกมาก่อนว่า เดิมทีเพศชายมีแนวโน้มนอกใจมากกว่าเพศหญิง ด้วยอำนาจทางสังคมที่มากกว่า (Knopp et al., 2017) แต่การศึกษาหลายงานในปัจจุบัน ไม่ว่าเพศใดก็ตามก็ไม่ได้มีความแตกต่างในการนอกใจแล้ว (Atkins et al., 2001; Whisman et al., 2007) ด้วยเรื่องของอำนาจทางเพศที่มีความเท่าเทียมมากขึ้น ทำให้สิทธิในการจะทำพฤติกรรมแต่เดิมที่ถูกกำหนดว่าต้องอยู่ในกรอบนั้นมีโอกาสเกิดมากขึ้น นอกจากนี้ปัจจัยอายุของบุคคลเอง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยภายในที่น่าสนใจ โดยจากการสำรวจในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา อัตราการนอกใจระหว่างคู่รักนั้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในคนทุกช่วงอายุ (Fincham & May, 2016) และทั้งเพศชายเพศหญิงอายุต่ำกว่า 45 ลงมามีโอกาสการนอกใจเท่าๆ กัน ซึ่งสนับสนุนเรื่องที่ว่า “เรื่องของการนอกใจอยู่ที่ใจ ไม่ใช่ร่างกายโดยกำเนิดอีกต่อไป”
เข้าสู่การพูดถึงปัจจัยภายนอกที่เกื้อหนุนเรื่องการนอกใจกัน หรือการต้องเลิกราความสัมพันธ์ ประเด็นของการถือครองอำนาจทางการเงินที่มีการร่วมกันดูแลค่าใช้จ่ายร่วมกัน ที่อาจเป็นชนวนให้เกิดความไม่ซื่อตรงทางการเงิน (Financial infidelity) ที่นำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง ตกลงกันไม่ได้ เพราะมีปัจจัยเรื่อง “เงิน” เข้ามาเกี่ยวข้องนั้น เราจะเห็นได้บ่อยมากที่สาเหตุของปัญหาคู่ชีวิตมีเรื่องของเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นวาทกรรม “ซ่อนเงินเดือน” เพราะกลัวถูกริบเข้ากองกลางบ้าน หรือเรื่องของพินัยกรรมและมรดกที่สร้างความเคร่งเครียดและการหย่าร้างได้ดีเลยทีเดียว (Dew et al., 2012) นอกจากนี้ประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือความไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นประเด็นปัจจัยระหว่างบุคคล ไม่ว่าจะเป็นความไม่พึงพอใจในเรื่องทางเพศและสถานะการแต่งงานก็สามารถเป็นใบเบิกทางที่จะนำไปสู่การมองหาผู้คนใหม่ๆ แสวงหาความสุขที่ขาดหาย รวมไปถึงเรื่องของความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมหลับนอน (Friend with benefits) หรือความสัมพันธ์แบบชั่วข้ามคืน (One night stand) เช่นกัน (Denes & Speer, 2017) ที่นับว่าเป็นคำที่ได้ยินบ่อยในยุคนี้
ในอีกการศึกษาหนึ่งที่น่าสนใจของ Knopp และคณะเมื่อปี 2017 ได้ศึกษาในกลุ่มประชากรชาวอเมริกันอายุระหว่าง 18-35 ปีทั้งหมด 484 คน พบมีผู้ที่ยอมรับว่าเคยมีความสัมพันธ์ซ้อนในครั้งแรกมากถึง 45% ที่ยอมรับว่าในครั้งที่สองเองก็มีความสัมพันธ์ซ้อนเช่นกัน นอกจากนี้ในเรื่องของความสงสัยและความคิดที่เชื่อว่าบุคคลจะทำพฤติกรรมนอกใจซ้ำอีก ยังมีมากขึ้นถึง 4.3 และ 2.4 เท่าตามลำดับจากครั้งแรกของความสัมพันธ์ กล่าวคือการนอกใจในครั้งแรกเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ครั้งต่อไปก็ย่อมมีอีก ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของบุคคลด้วยที่จะถูกตีตราว่าเป็นผู้นอกใจต่อเนื่อง เป็นคำนิยามไว้ว่า “Serial Infidelity” ที่คลับคล้ายกับคำว่า “Serial Killer” หรือฆาตกรต่อเนื่องนั่นเอง

ทฤษฎีนิเวศวิทยาของ Uri Bronfenbrenner ("The COVID-19 Pandemic", 2021)
เรากลับมาตีแผ่ในเรื่องของค่านิยม ศาสนา วัฒนธรรม รวมไปถึงคำสอนต่างๆ ที่มองข้ามไม่ได้อย่างแน่นอน ที่เรามักพบเห็นหรือเคยได้ยินว่า “การนอกใจเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้” เนื่องจากมันผิดระเบียบและขนบประเพณีก็ดี ความไม่ยุติธรรมต่อคู่ตรงข้ามก็ดี ก่อร่างสร้างเป็นระบบความเชื่อและการตัดสินตีตราว่าเป็นสิ่งผิดขึ้นมา โดยสถานการณเช่นนี้ถ้าตามทฤษฎีนิเวศวิทยาของ Uri Bronfenbrenner ก็จะเชื่อว่าค่านิยมทางวัฒนธรรมและสังคมนับว่าเป็นระบบมหภาค (Macrosystem) ที่ครอบคลุมทั้งตัวบุคคล กลุ่มสังคม สื่อมวลชนต่างๆ อันคอยควบคุมสิ่งเหล่านี้อีกทีหนึ่ง ที่สามารถสร้างเป็นข้อบังคับและการมองผิดชอบชั่วดีตามมาได้เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ระบบมหภาคเองก็มิได้เป็นจุดสูงสุดของระบบนี้ Bronfenbrenner ได้พูดถึง “Chronosystem” หรือระบบมิติของเวลา ซึ่งคือปัจจัยเวลาที่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย สังคม หรือ “ความเชื่อ” ก็ย่อมเกิดความเชื่อใหม่ๆ ขึ้นได้เสมอ สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดความแตกต่างทางความคิดในกลุ่มสังคมและการโต้เถียง ซึ่งแน่นอนมันไม่มีทางมีสูตรคำตอบที่ถูกต้องในตำราวิชาสามัญ ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะมองอย่างไรมากกว่า
ในยุคก่อนเรื่องของความเท่าเทียมอาจถูกมองเป็นเรื่องรอง
การเหยียดชนชั้น เพศ มีเกิดขึ้นให้เห็น
แต่ในปัจจุบันผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องของสิทธิมากขึ้น
เพราะยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว อะไรทำนองนี้
พอมาพูดถึงเรื่องของผลกระทบจากการนอกใจ มันก็เป็นเรื่องสามัญสำนึก (Common sense) ที่ใครหลายคนน่าจะเดาได้ไม่ยากมากนัก ทั้งความรู้สึกลบ ความเครียด เสียใจ ผิดหวัง รวมไปถึงความโกรธ มักจะเป็นสิ่งที่ตามมาเสมอเมื่อเวลาเราถูกรู้ว่าโดนนอกใจ และด้วยเหตุประการนี้เองจึงอาจมีผลให้ผู้คนส่วนมากมองว่า “พฤติกรรมการนอกใจ” เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะมันสามารถสร้างบาดแผลและความเจ็บช้ำแก่ผู้ถูกกระทำอย่างรุนแรงและเรื้อรังได้นั่นเอง
สุดท้ายนี้ อย่างที่ผมเองได้ตั้งคำถามไปตอนต้นบทความว่า เรื่องของการนอกใจมันผิดมากแค่ไหน ด้วยความที่หลากคนหลากความคิด บางคนก็ไม่ได้มองเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องผิดแล้วในปัจจุบัน แต่ก็มีผู้คนที่ยังมองต่างไปอยู่เช่นกัน ตราบใดที่เราอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า “สังคม” เรื่องของการเห็นต่างกันย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเราเชื่อแน่นอนว่าต้องมีคนเห็นต่างไปจากสิ่งที่เราจะพิมพ์ต่อจากนี้แน่นอน แต่หากจะให้ตอบคำถามนี้ เริ่มต้นอยากให้แบ่งออกเป็น 2 มุมมองก่อน ในมุมของผู้กระทำ การหลีกออกจากความไม่น่าอภิรมย์เพื่อแสวงหาความพึงพอใจอื่นรอบข้างนั้น เป็นเรื่องที่ผมไม่มองว่าผิดเลย หากไม่มี “ผู้ถูกกระทำ” ซึ่งจากการกระทำนี้เองที่อาจจะสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดกับเขาติดตัวไป และนำมาซึ่งความรู้สึกทางลบที่เรื้อรัง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับใครเลย และผมหวังว่าผู้อ่านทุกท่านเองคงจะได้คำตอบของคำถามผมเช่นกัน ไม่มากก็น้อย
โดยสรุปภาพรวมหากจะกล่าวทิ้งท้ายไป เราจะทำอย่างไรเพื่อคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีไว้ได้ วิถีทางที่ดีที่สุดอาจเป็นสิ่งที่เรียบง่ายที่สุดอย่าง “การพูดคุยกันด้วยความเข้าใจ รับฟังอย่างไม่ตัดสิน และสร้างความเชื่อใจซึ่งกันและกัน” เพื่อนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยืนยาว และเพื่อการแก้ไขปัญหาที่จะลดผลข้างเคียงต่อทั้งสองฝ่ายต่อไป เท่านั้นเอง
อ้างอิง
Atkins, D., C, Baucom, D., H. & Jacobson, N., S. (2001). Understanding infidelity: Correlates in a national random sample. Journal of Family Psychology, 15(4), 735-749.
Denes, A. & Speer, A., C. (2018). Infidelity goes online: Communicating about sexual health in personal ads when seeking extra-dyadic relationships on craigslist. International Journal of Sexual Health, 30(2), 177-194.
Dew J., Britt, S. & Huston, S. (2012). Examining the relationship between financial Issues and divorce. Family Relations, 61(4), 615–628.
Fincham, F., D. & May, R., W. (2017). Infidelity in romantic relationships. Current Opinion in Psychology, 13, 70-74.
Knopp, K., Scott, S., Ritchie, L., Rhoades, G., K., Markman, H., J. & Stanley, S., M. (2017). Once a cheater, always a cheater? Serial infidelity across subsequent relationships. Archives of Sexual Behavior, 46(8), 2301–2311.
McCarthy, N. (2015, August 21). The countries that care about cheating the least. Statista. https://www.statista.com/chart/3742/the-countries-that-care-about-cheating-the-least/
The COVID-19 pandemic: What has been difficult for children and how they are adapting to change (2021, April 12).Growing Minds Blog. http://growingmindspsych.com/blog/2021/04/12/the-covid-19-pandemic-what-has-been-difficult-for-children-and-how-they-are-adapting-to-change/
Varga, C.M., Gee, C.B. & Munro, G. (2011). The effects of sample characteristics and experience with infidelity on romantic jealousy. Sex Roles, 65(11-12), 854–866
Whisman, M., A., Gordon, K., C. & Chatav, Y. (2007). Predicting sexual infidelity in a population-based sample of married individuals. Journal of Family Psychology, 21(2), 320–324.
ผู้เขียน
